Saturday, January 11, 2014

การค้าขายทางเรือ : เรือสำเภา

ประวัติการสร้างเรือสำเภาในประเทศไทย





เรือสำเภา เป็นเรือค้าขายที่มาจากประเทศจีน ซึ่งมีการติดต่อค้าขายกับประเทศไทยมากที่สุด เข้ามาในประเทศไทยปีละครั้งในฤดูร้อน ซึ่งเป็นฤดูที่มีลมตะเภาพัดมา จึงได้เรียกเรือค้าขายที่มาจากประเทศจีนว่า “เรือตะเภาหรือ “เรือสะเภา” แล้วภายหลังเรียกว่า เรือสำเภาเรือของจีนนั้นมีหลายแบบหลายชนิด เช่นเดียวกับเรือของประเทศอื่นๆ เรือสำเภามีความหมายอย่างกว้างๆ ว่าเป็นเรือขนาดใหญ่แบบจีนแล่นออกทะเลลึกได้
เรือสำเภาที่ต่อในประเทศไทย มีตัวอย่างที่วัดยานนาวา กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเรือขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยต่อในประเทศไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ส่วนเรือสำเภาขนาดย่อมกว่านี้ก็มีใช้ในเมืองไทยเหมือนกัน รูปร่างลักษณะจะแตกต่างกับเรือสำเภาที่วัดยานนาวาไปบ้าง เพราะการต่อเรือแต่ละลำย่อมจะแตกต่างกันไปตามความประสงค์ของผู้ใช้เรือนั้นๆ 
เรือสำเภาของไทยมีกำเนิดมาจากจีน เพราะตามประวัติบอกว่ามีช่างชาวจีนเป็นหัวหน้าช่างต่อเรือ และอีกประการหนึ่งการเดินเรือเข้าไปค้าขายจะต้องเป็นเรือที่มีลักษณะเป็นเรือจีน จึงจะเข้าเทียบท่าเรือของจีนได้ เรือสำเภาของไทยมีลักษณะเป็นเรือสำเภาแบบทั่วๆ ไป ตลอดทั้งลำคือ มีดาดฟ้ายกท้ายเรือ หางเสือเป็นรูปแผ่นบานประตูสามารถยกขึ้นลงได้ ใช้ใบแขวนขนาดใหญ่ที่มีพรวนใบเต็ม (ใบปีกค้างคาว) ส่วนที่แตกต่างกันได้แก่ การประกอบกระดูกงูและกง เรือสำเภาของไทยมีดาดฟ้ายกท้ายเรือสูงกว่าหัวเรือเล็กน้อย มีส่วนโค้งน้อยมากและดาดฟ้ายกท้ายเรือก็ไม่ลาดไปทางหัวที่ต่ำกว่ามากนัก จึงมีลักษณะทั่วไปคล้ายกับเรือสำเภาของจีน

การต่อเรือสำเภาไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา 

กรุงศรีอยุธยา มีความเจริญรุ่งเรืองในหลายด้านเพราะไทยเรามีการติดต่อค้าขาย และเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ การค้าทางทะเลย่อมขึ้นอยู่กับการต่อเรือที่จะใช้ออกไปทำการค้าขายยังต่างประเทศ และอุตสาหกรรมการต่อเรือในประเทศไทยมีความเจริญก้าวหน้าไม่แพ้ประเทศอื่นๆ ในเอเชีย เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่มีไม้พันธุ์ดีหลายชนิดที่เหมาะแก่การต่อเรือ ดังนั้นจึงมีการต่อ เรือสำเภาค้าขายแบบจีน และเรือกำปั่นแบบฝรั่งในไทย
ในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรถ รัชกาลที่ 19 แห่งกรุงศรีอยุธยาก็ปรากฏว่า ได้มีการสั่งช่างต่อเรือมาจากฮอลันดา ซึ่งเข้าใจว่าคงจะดำริต่อเรือกำปั่นแบบฝรั่งสำหรับใช้ในราชการ ส่วนเรือสำเภาแบบจีนสามารถต่อได้อยู่แล้ว โดยให้ช่างต่อเรือชาวจีนเป็นหัวหน้า ถึงสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชซึ่งเป็นสมัยที่มีการค้าทางทะเลเจริญก้าวหน้ามาก ก็ได้มีการต่อเรือกำปั่นที่กรุงศรีอยุธยาและที่เมืองมะริด ดังปรากฏหลักฐานในจดหมายเหตุของบาทหลวงเดอชัวสี ที่เมืองมะริดนั้น เมื่อครั้งแซมวลไวท์เป็นเจ้าท่าควบคุมการค้าทางทะเลทางอ่าวเบงกอลก็ได้ต่อเรือกำปั่นที่เมืองนี้ เพื่อเดินทางค้าขายกับหัวเมืองทางอินเดีย ปรากฏว่ามีเรือหลวงของไทยต่อที่เมืองมะริดลำหนึ่ง ชื่อเรียกอย่างฝรั่งว่า RESOLUTION ได้ทำการระดมยิงเมืองของพวกเจ้าแขกทางอินเดีย จนเป็นเหตุให้เกิดกรณีพิพาททางการเมืองกับฝ่ายอังกฤษขึ้นในสมัยนั้น 
ในสมัยสมเด็จพระศรีสรรเพชญ์ที่ 9 ก็ได้มีการต่อเรือกำปั่นซึ่งในพระราชพงศาวดารกล่าวว่า เป็นเรือกำปั่นที่มีขนาดยาวประมาณ 37 เมตร ความกว้างประมาณ 7 เมตร ใช้เวลาในการต่อ 5 เดือน หล่อหลอมเหล็กและตีเป็นสมอใหญ่ที่วัดมเหยงคณ์ กรุงศรีอยุธยา คงเป็นเรือกำปั่นใบไม่น้อย 2 เสา ใช้ใบพรวนใยพืชเป็นใบชนิดพับ ท้ายบาหลียกสูงมีบ้านเล็กๆ คล้ายสำเภาจีน หางเสือแบบบานประตู มีช่องข้างเรือสำหรับพาดกระบอกปืน มีช่องระวางทางลงสินค้า ในครั้งนั้นจะต้องต้อนช้างเดินเป็นทางลาดลงไปถึงท้องเรือ เพราะครั้งนั้นไม่มีเครนหรือคันบูมยกสินค้าเหมือนปัจจุบัน สามารถบรรทุกช้างได้ถึง 30 เชือก และภายในท้องเรือนั้นจะต้องมีเนื้อที่กว้างขวางอย่างเพียงพอ สำหรับช้างและอาหารช้างจำนวนมากเป็นเวลาหลายเดือน กว่าจะถึงเมืองท่าของต่างประเทศ และใช้ใบกำปั่นไม่มีเครื่องยนต์ เมื่อมีลมก็จะเดินทางไปได้ แต่ยามลมสงบก็จะแล่นไปไม่ได้ ต้องทอดสมอเพื่อคอยลม เมื่อมีกระแสลมพัดจึงจะออกเดินทางต่อไปได้ จะเดินทางบ้างทอดสมอบ้างเป็นเวลาหลายเดือน และเสบียงอาหารและน้ำจืดสำหรับลูกเรือและกัปตันอีกจำนวนหนึ่ง แต่เมื่อพบเมืองท่า หากมีพระราชไมตรีก็อาจจะได้รับเสบียงอาหารและน้ำได้บ้าง และเมื่อยามศึกสงครามก็อาจใช้เป็นเรือรบได้ด้วย 
ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ แสดงว่าได้มีการต่อเรือทั้งสำเภาแบบจีนแลกำปั่นในแบบฝรั่งมาแล้วตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา นอกจากนี้ก็มีพวกพ่อค้าประชาชนจัดตั้งโรงต่อเรือสินค้า เพื่อนำเรือไปขายต่างประเทศ เพราะเมืองไทยอุดมไปด้วยไม้ซึ่งมีราคาถูกกว่าต่างประเทศ กับทั้งค่าแรงก็ไม่แพง ค่าต่อเรือถูกกว่าที่อื่นๆ ซึ่งนับเป็นอุตสาหกรรมที่มีกำไรดีอย่างหนึ่ง จนถึงรัชสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทางราชการรู้สึกว่า หากปล่อยให้การต่อเรือมีมากจนเกินไป ไม้ในเมืองไทยก็จะหมดลง จึงได้ออกพระราชกำหนดเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมการต่อเรือขึ้นไว้ตามแบบอย่างสมัยกรุงศรีอยุธยา สมควรจะได้นำพระราชกำหนดนี้ขึ้นประกาศใช้เมื่อ พ.ศ.2328

“ พระราชกำหนดนี้มีข้อความว่า ในสมัยสมเด็จพระบรมโกษฐ์ เนื่องจากมีความจำเป็นต้องใช้ไม้ในการปฏิสังขรณ์ สร้างวัดวาอาราม และใช้ในราชการในแต่ละปีเป็นจำนวนมาก จึงให้มีกฏหมายห้ามเอกชนใช้ไม้ต่อสำเภาตามอำเภอใจ ผู้ที่จะต่อสำเภาต้องได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสียก่อน โดยต้องเสียค่าธรรมเนียมเป็นเงินหนึ่งชั่ง สิบสี่ตำลึง สามสิบบาท สองสลึง ผู้ที่ลักลอบต่อสำเภาจะได้รับโทษ และหากต้องการตกแต่งซ่อมแซมสำเภาที่ชำรุดใหม่ จะต้องบอกแก่เจ้าพนักงานให้วัดปากเรือ และสำเภาตามกฎหมาย เพื่อไม่ให้มีการซ่อมแปลงปากเรือกว้างยาวเท่าเดิม อันจะทำให้หลวงเสียประโยชน์ และได้กำหนดบทลงโทษไว้ ”



รูปภาพประกอบบทความ








งานศัพท์เศรษฐกิจ
จัดทำโดย : น.ส.ลักษิกา มงคลทิพย์รัตน์ ห้อง 942 เลขที่ 30
เสนอ : อ.ประพิศ ฝาคำ
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา









1 comment:

  1. เว็บรีวิวสินค้า ที่ก่อตั้งขึ้นด้วยเจตนา ที่ไม่อยากเห็นผู้บริโภค หรือ ผู้ซื้อสินค้าประเภทต่างๆ ถูกเอารัดเอาเปรียบ ด้วยเหตุผลต่างๆนาๆ ไม่ว่าจะเป็น รูปแบบของสินค้า ที่ไม่ตรงตามภาพ หรือ การบริการที่ดีและไม่ดี ทำให้คุณมีสิทธิเลือกสินค้า ได้เพิ่มมากขึ้น

    jetdo.co

    hidek.club

    ReplyDelete